Crazy Blah Blah

Let's Talkin Silly, Crazy and Blah Blah Blah … ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||| ///////////////////////////////////////

ฉันจะบินโดยที่ไม่ต้องมีปีก

แล้วก็ถึงเวลาอีกครั้ง กับการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบปี 2017 เพื่อเตรียมความพร้อมรับสิ่งดีดีที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า เราเริ่มต้นด้วยการดูกันก่อนว่าปีที่แล้วเราเขียนอะไรไปบ้าง

จะประคองตัวเองให้ Alert เข้าไว้ ในขณะเดียวกัน ก็จะ Flow to live now … ไหลไปกับสภาพการณ์ขณะนั้น โดยยึดมั่นที่เป้าหมาย คือเป็นปีที่ธุรกิจเดินหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นปีที่มีสุขภาพดี …

ตลอดปี 2017 ด้านธุรกิจ ต้องถือว่าประสบความสำเร็จเกินความตั้งใจไปเยอะครับ ปีนี้ได้มีโอกาสทำงานใหม่ๆ ในหลากหลายรูปแบบ ครบทุกงาน ทั้งออกแบบและผลิตสิ่งพิมพ์ งานโค้ช งานสอน งานที่ปรึกษา แต่ด้านสุขภาพ ต้องสารภาพว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า จากที่ตั้งใจจะปั่นจักรยานอาทิตย์ละ 2 ครั้ง บางเดือนทำได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น แถมชีวิตยังเต็มไปด้วยอาหารทำเอาผู้คนรอบข้าง ทักเรื่องน้ำหนักกันแทบทุกคนที่พบเจอ

ปีนี้ก็ยังคงเป็นปีแห่งการเรียนรู้ครับ ตั้งแต่ต้นปี เข้าไปทบทวนวิชาในคลาส NLP เพื่อเก็บชั่วโมงช่วยสอน ตามขั้นตอนของการเป็นโค้ชมาตรฐานยุโรป ต่อด้วยการโค้ชเพื่อเก็บชั่วโมงจนครบ เรียนวาดรูป เรียนคัดลายมือ ที่จริงจังหน่อยก็จะเป็นการเรียนเกี่ยวกับวิธีคิดนวัตกรรม ของทาง Columbia Business College โดยใช้หลักคิดของทางอิสราเอล และปิดท้ายปีด้วยการเรียนหลักสูตรคิดด้วยภาพ กับ Mr.Dan Roam ที่เป็นนักเขียนติดอันดับ Best Seller ของทาง Amazon.com ไม่รวมถึงการเรียนรู้ระหว่างการทำงานที่ปรึกษาร่วมกับองค์กรรัฐ ที่เรียกได้ว่าเป็นหลักสูตรเร่งรัดพิเศษ ที่เพียงปีนี้ปีเดียว ได้ให้คำปรึกษาไปหลายสิบโครงการ

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างเด่นชัดในปีนี้ คือการตอบรับทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาครับ ปีนี้ปฏิเสธโอกาสน้อยมาก โดยเฉพาะโอกาสใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน คงจะเลือกรับแต่ที่คุ้นเคยเท่านั้น และปฏิเสธมันไปกว่าครึ่ง แล้วตอนที่รับโอกาสนั้นๆมา แม้ลึกๆจะเป็นกังวล แต่ก็มั่นใจ ว่าจะจัดการมันได้ด้วยดี

สำหรับปีหน้า ในภาพใหญ่ ก็คงจะเป็นการต่อยอดจากปีนี้ไปอีก ในด้านการทำงาน ก็จะคิดและทำให้มีความก้าวหน้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ต้องดูแลสุขภาพตามวัยให้มากขึ้น เอาเข้าจริง สำหรับปี 2018 ตั้งใจจะวางแผนให้น้อย แผนคร่าวๆในส่วนของงานออกแบบคือการเดินหน้าในเรื่องการรับออกแบบโค้ชชิ่งการ์ดสำหรับองค์กร และอุปกรณ์สนับสนุนโค้ชและเทรนเนอร์ท่านอื่นๆ ให้มากขึ้น เริ่มจากในประเทศ และขยายไปสำหรับโค้ชและองค์กรทั่วโลก ในเรื่องโค้ชและที่ปรึกษาก็มีแผนต้องเดินหน้าคือต้องโต และชัดเจนขึ้นแน่ๆ แต่นั่นก็เป็นแค่แนวคิดกว้างๆ ปีหน้านี้ หลักๆ คือจะปล่อยไหล ไปตามโอกาสที่ผ่านเข้ามา จากการที่เราสะสมเสบียง ในเรื่องทักษะ เรื่องการเข้าหาเพื่อนใหม่ๆ มาหลายปี ปีนี้น่าจะเป็นโอกาสดี ที่เราจะบินขึ้นไปยังจุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม

พอคิดได้แบบนี้ ก็ไปหยิบการ์ดชุด Messages From Heaven, Communication Cards จากสก็อตแลนด์ มาเลือกซักใบ อยากได้คำแนะนำเกี่ยวกับการปล่อยไหล + บินขึ้นไปในจุดที่สูงขึ้น ได้การ์ดใบนี้ครับ

ช่างเข้ากันดีจริงๆ ในรูปผมเห็นนก รังนก และกิ่งไม้ ประกอบกับข้อความ Be Creative, Look for ways to build, grow, and manifest. ข้อความที่ส่วนตัวผมแปลได้ คือการให้โอกาสตัวเองบินไป แล้วถ้าเจอที่เหมาะๆ น่าสนใจ เราก็จะรู้ และเริ่มทำรังของตัวเอง อืมมมมมม เอาละครับ ด้วยชุดความคิดที่น่าสนใจนี้ เรามาลองดูพร้อมๆกันซิ ว่าจากวันนี้ถึงปลายปีหน้า เราจะได้เจอกับอะไรที่น่าประทับใจในชีวิตกันบ้าง

และแน่นอนว่าสำหรับปีนี้
นับว่าเป็นอีกปีที่พอใจ ครับ

จนกว่าจะพบกันใหม่

ปีแห่งการเก็บเสบียง

“ฉันจะมุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยวิธีการในแบบของตัวเอง เพื่อให้เราสามารถอุทิศตัวทำประโยชน์ให้ผู้คนรอบข้างได้เต็มที่ในอนาคต และนั่นจะทำให้เพิ่มความรู้สึกขอบคุณในสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้มากขึ้นอีกด้วย”

สวัสดีครับ พบกันทุกปี กับการทบทวนชีวิตในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งวางแผนล่วงหน้า สำหรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ผมเริ่มต้นการเขียนครั้งนี้ ด้วยคำประกาศประจำปีที่แล้ว เป็นการทบทวนว่า ที่เขียนๆไปน่ะ เราทำมันได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับปีที่ผ่านมา นับได้ว่ามีความคืบหน้าตามที่เขียนไว้ ทำสำเร็จในบางเป้าหมาย และได้ใช้ความสามารถที่ตัวเองมี เพื่อคนรอบข้าง และเพื่อสังคม มากอยู่

และเช่นเดียวกับปีที่แล้ว การเขียนในครั้งนี้ ผมก็ใช้การ์ดเป็นอุปกรณ์เสริมอีกแล้วครับ แต่การเลือกการ์ด จากชุด Point of you / Punctum โค้ชชิ่งการ์ดจากทางอิสราเอลมาใช้ ร่วมกับเฟรมเวิร์คแบบง่ายๆ คือเลือกการ์ดทีละ 3 ใบ 2 ชุด ชุดแรก ว่ากันเรื่องชีวิตในปีที่ผ่านมา และอีกชุด สำหรับ ปีหน้าที่กำลังจะมาถึง

2016-12-29-21-17-59-copy

ปีที่ผ่านมาสำหรับผม มุมนึงจะว่าไป เต็มไปด้วยความเสี่ยงครับ มีเรื่องต้องทำมากมาย และส่วนมาก จะเป็นเรื่องใหม่ในชีวิตซะด้วย ถามว่าผมอยู่ในจุดที่พร้อมมั้ย รูปด้านบน บอกถึงสภาพชีวิตเมื่อต้นปีได้เป็นอย่างดี มือเหี่ยว เล็บถลอก ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมซักนิด สิ่งที่ทำได้ มีแค่ ความมั่นใจในความเก๋า ของตัวเอง ที่ผ่านการเวลามาไม่ใช่น้อย ด้วยทักษะที่ติดตัวมา คือทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการปรับใจ ให้รับทุกความเป็นไปได้ ที่นับเป็นส่วนประกอบที่แสนจะมีคุณค่าในชีวิต

พูดเหมือนง่าย แต่แรกๆก็กังวลนะครับ อย่างการบินไปวิปัสนาคนเดียว ในจังหวัดที่ไม่เคยไป การไปออกบูทเมืองนอก ใช้ภาษาอังกฤษล้วนๆ การเป็นโค้ชอาสาไปช่วยโค้ชให้เด็กๆ ผู้ด้อยโอกาส ภายใต้การดูแลของมูลนิธิและกรมประชาสงเคราะห์ หรือแม้แต่การสอนใช้การ์ด ที่หลายคนมองว่า สำหรับผมน่าจะสบาย แต่เชื่อมั้ย ส่วนตัว ผมไม่เคยเชื่อ ว่าผมจะสอนใครให้เข้าใจได้ ภายในเวลาราวๆ 2 ชั่วโมง

แต่เมื่อเราทำมัน เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่พบกลับกลาย เป็นไม่มีเรื่องไหน ที่จบด้วยการบาดเจ็บ หรือล้มเหลวเลยแม้แต่เรื่องเดียว กลับกันด้วยคือ ผมทำมันได้ดีกว่าที่คาดตั้งเยอะ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีสำหรับผม ที่จะเก็บความสำเร็จเหล่านี้เอาไว้ เหมือนเป็นเสบียงความมั่นใจ เพื่อเวลาในอนาคต เราเจอความท้าทายใหม่ๆ จะได้กลับมาเรียกใช้ความมั่นใจ ประสบการณ์ เหล่านี้อีกรอบนึง

ปี 2016 ที่ผ่านมา ก็มีนะ เรื่องที่เรียกว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า อย่างการตั้งเป้าหมาย ว่าจะมีธุรกิจขายเครื่องเขียน สมุดโน๊ตออนไลน์ ปีนึงผ่านไป ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เช่นเดียวกับการดูแลสุขภาพ เล่นกีฬา ที่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และถดถอยอย่างชัดเจน สังเกตได้จาก เวลานอนเฉลี่ยต่อคืนที่น้อยลง และ น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น จนเสื้อทำงานที่ตัดมา ติดกระดุมคอไม่ได้ละ ฮือฮือ  T__T

งั้นเรามาวางแผนในปีถัดไป 2017 นี้ ในภาพรวม ผมตั้งใจ จะให้เป็นปีที่มีสุขภาพดี และมีธุรกิจที่เดินหน้าซักที ด้วยการเปิดรับทุกตัวเลือก ทุกโอกาส ที่กำลังเริ่มเรียงแถวเข้ามา Focus ทีละเรื่อง ให้เห็นผลจับต้องได้ อย่างน้อย 3 อย่าง (ถึงส่วนใหญ่ จะเป็นงานสอน งานโค้ช งานที่ปรึกษา แต่อยากตะโกนดังๆตรงนี้ว่า งานออกแบบและผลิตสิ่งพิมพ์ ก็ยังรับนะครับ 555) เพื่อให้เราทำได้ตามเป้าหมาย คุณสมบัติที่เราจะนำมาใช้ มันคือความมั่นใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการปรับใจ ให้รับทุกความเป็นไปได้ ที่เราเก็บเอาไว้เป็นเสบียงตั้งแต่ปีทีผ่านๆมานี่แหละ

เพื่อให้เราทำตามความตั้งใจนี้ได้ และเพื่อป้องกันความเครียดและกดดันตัวเอง จนเกิดเป็นข้ออ้างและล้มเลิกความตั้งใจไป สิ่งที่ผมจะทำคือ ประคองตัวเองให้ Alert เข้าไว้ ในขณะเดียวกัน ก็จะ Flow to live now …ไหลไปกับสภาพการณ์ขณะนั้น โดยยึดมั่นที่เป้าหมาย คือเป็นปีที่ธุรกิจเดินหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นปีที่มีสุขภาพดี

เพื่อปีหน้า ช่วงปลายปี เราจะยังคงมีประโยคปิดท้ายได้ว่า
นับเป็นอีกปีที่ฉันพอใจ ^_^

อายครู … ไม่อายครู

ทุกอย่างที่ผมกำลังจะเขียนเริ่มต้นจากคำครูในบ่ายวันนึง ของชีวิตในวัยมัธยมต้น …

คำของครูท่านนี้ครับ


อาจารย์วัชรา โพธิ์ชาธาร
โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว

ตอนนั้น ท้ายชั่วโมงสอน. ครูเรียกพบแล้วก็ชวนผมให้ทำงานให้ครู คอยดูแลเพื่อนๆ คอยเป็นตัวกลาง ประสานงานกันระหว่างสิ่งที่ครูอยากได้ กับสิ่งที่เราและเพื่อนต้องทำ. ในตำแหน่งหัวหน้าห้อง

ตอนนั้น ผมถามว่าทำไมถึงเป็นผมล่ะ ?
ครูมองหน้า แล้วบอกผมว่า

เธอเป็นเด็กดีที่สุดของกลุ่มที่แย่ที่สุดของห้อง
ซึ่งผมคิดมาตลอดว่ามันเป็นคำชม หุหุ
ตอนนั้นปฏิเสธไป เพราะคิดว่าเราคงทำงานอะไร แบบนั้นไม่ได้ คิดวิตกล่วงหน้า ว่าถ้าครูสั่งอะไรมาแล้วเราทำไม่ได้ เราจะรู้สึกผิด และ…อายครู

เรื่องนี้จบลงยังไงไม่รู้ ผมจำไม่ได้ละ
น่าจะเป็นหัวหน้าห้องให้เทอมนึงมั้ง

อยู่ๆวันนี้ ก็นึกถึงประโยคนี้อีก
แล้วก็เลยคิดต่อว่า ชีวิตเราเป็นยังไง. ในมุมการมีชีวิตแบบที่ครูว่า

คิดแล้วก็อมยิ้มครับ

เราโชคดีจัง เพราะการที่เราเป็นแบบนี้
จะแย่ก็ไม่ชัด จะดีทุกเรื่องก็ไม่ใช่
เท่ากับว่าเราก็มีประสบการณ์ได้กับทุกกลุ่ม
และไม่ใช่แค่ตอนเรียนมัธยมด้วยนะ

ไม่ว่าจะช่วงชีวิตตอนไหน
จะวัยทำงานหรือมหาวิทยาลัย ผมก็มีเพื่อนหลายกลุ่ม  และถ้ามีโอกาส ต้องเสนอหน้า

ไปเรียนรู้การใช้ชีวิต ทั้งด้านสว่าง ทั้งดาร์คไซด์เสมอ
ถ้ามันไม่ขัดกับหลักการในใจ

เมื่อการที่คนเรามองโลกจะเป็นไป+ตีความตามสิ่งที่ชีวิตเราเห็น
สิ่งที่ได้ตามมา จากชีวิตที่เป็น คือการขยายมุมมองเห็นสังคมเล็กๆนั้นๆในหลายมุม ทำให้เข้าใจ และเข้าถึงเรื่องนั้นๆ ได้ในหลากหลายประเด็น

เราโชคดีจัง ที่มีครูสะท้อนประโยคนี้ให้ ทำให้เราเห็นรูปแบบชีวิตที่เป็นไปตั้งแต่ยังเด็ก

พอวันนึงที่มีโอกาสมาเป็นคนถ่ายทอดความรู้จึงพยามนำเอามุมมองโลกแบบที่มองอยู่ มารวมกับวิชาออกแบบ วิชาโค้ช วิชาการพูดที่มี มาใช้ถ่ายทอดท่ามกลางความหลากหลายของผู้เรียนที่มีได้อย่างทั่วถึง

สองปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นการซ้อมใหญ่

เป็นการเรียนรู้ ฝึกฝน เพิ่มเติมทุกด้านที่ต้องใช้ในการสอนคน ทั้งเรื่องความแตกต่างที่แต่ละคนใช้ในการรับรู้ ไปจนถึงคนแต่ละประเภทเราควรสอนยังไง พูดแบบไหน เข้าตาเข้าหูเข้าใจ คนฟัง โดยความมุ่งหวังตั้งใจจะถ่ายทอดความรู้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย จนนาทีนี้แนวทาง ค่อนข้างชัด ว่าสไตล์การสอนแบบไหนสำหรับเราที่เรียกว่าใช่ สอนแบบไหนที่ไม่ไหว

ถึงตอนนี้อาจจะยังไม่ถึงกับดีนัก ในทุกคลาสที่สอนไป
แต่อย่างน้อยๆ ก็อยากให้ครู
ในทุกๆวิชาชีวิตของผมได้ภูมิใจ ว่าวันนี้
ผมมั่นใจว่าผมทำได้ … ไม่อายครู

ขอบคุณครับคุณครู

16 มกราคม 2559

  

กระจกมองหลัง กับไฟหน้า

เมื่อเราขับเคลื่อนชีวิตมาครบปี ก็ถึงเวลาที่จะต้องหยุดนึ่งซักที เข้าศูนย์ตรวจสภาพซะหน่อย แล้วค่อยกลับออกไปโลดแล่นบนถนนสายประสบการณ์กันต่อในปีหน้า

โปรแกรมตรวจสภาพ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนครับ

แค่มองกระจกหลัง ว่าเราวิ่งผ่านอะไรมาบ้าง จากนั้นก็เปิดไฟหน้าให้สว่างๆ มองให้ชัดๆ ว่าเราจะขับเคลื่อนชีวิตไปทางไหนกันต่อ ทั้งหมดก็มีประมาณนี้

ปีที่ผ่านมาสำหรับผม นอกจากจะได้ไปเปิดหูเปิดตาในที่ต่างจังหวัดทั้งไกลใกล้ รวมถึงปิดคอมพัก แล้วไปต่างประเทศแล้ว นับเป็นปีที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ ทั้งเรื่องการเรียนที่เรียนใช้การ์ดจากสก๊อตแลนด์ เรียนหลักสูตรที่ปรึกษาจากสิงคโปร์ เรียนรู้ต่อยอดเรื่องเอนเนียแกรมอีกหลายต่อหลายคลาส

เรื่องสอนใช้การ์ดแบบเต็มๆ ที่จากไม่เคยคาดคิด ว่าจะเป็นคลาสที่สร้างรายได้มาก่อน ก็กลายเป็นว่าสอนไปแล้ว 4 คลาส ทั้งคลาสไพรเวท ทั้งคลาสพับบลิก

เรื่องงานออกแบบกราฟิก ปีนี้มีโอกาสที่ได้ ได้ทำงานที่แปลก แตกต่างจากที่เคยทำ นอกจากออกแบบแล้ว ยังเข้าใกล้ความเป็นที่ปรึกษามากขึ้น แถมยังได้ร่วมงานกับบริษัทต่างชาติโดยตรงอีกจำนวนหนึ่ง ช่างเป็นโอกาสที่ดี แถมช่วงท้ายของปียังมีข่าวดีว่าอาจจะได้ทำงานใหญ่ๆ ขนาดรีดีไซน์โลโก้ให้โรงพยาบาลอีก ช่างน่าตื่นเต้นชะมัด ต้อนรับการทำงานภายใต้การจดทะเบียนบริษัทใหม่อย่างเป็นทางการพอดี

ขณะที่เรื่องงานไปได้สวย เรื่องสุขภาพกลับไม่ค่อยจะดีนัก ยอมรับเลยว่าไม่ค่อยได้ใส่ใจ ทั้งเรื่องกิน เรื่องออกกำลังกาย จนมันเห็นได้จากรูปร่างที่ขยายข้างจนใครๆที่เจอกันเป็นต้องทักว่าอ้วนขึ้นทู้กกกคน

ละสายตาจากกระจกมองหลัง ขยับมาเปิดไฟส่องทางข้างหน้ากันบ้าง ปีนี้พิเศษหน่อย เปิดไฟ ด้วยการใช้โค้ชชิ่งการ์ดดีกว่า อยากรู้เหมือนกันว่าจะออกมาเป็นยังไง ผมใช้รูปแบบของ Personal Brochure ของ Point of You, Coaching cards จากอิสราเอลเป็นเฟรมหลัก และใช้การโค้ชตัวเองผ่านการเขียนครับ


ผลที่ได้ ก็ทิ่มแทงตรงใจตามเคย ^_^

ในปีหน้า 2559 จะต้องเริ่มวางพื้นฐาน เพื่ออนาคตไกลๆบ้างละครับ ทั้งเรื่องงาน เรื่องการจัดการการเงิน  เรื่องสุขภาพ และเรื่องอื่นๆ คือต้องหัดตั้งเป้าหมาย แล้วไล่ล่าความสำเร็จกะเค้ามั่งล่ะ

หลายเรื่องที่เราไม่รู้จริง ไม่แน่ใจ แทนที่จะทดลองด้วยตัวเอง ก็จะขอความช่วยเหลือให้มากขึ้นน่าจะดีกว่า ปัญหาเรื่องปากหนักไม่ค่อยขอความช่วยเหลือใคร ต้องแก้ไขล่ะปีนี้ 😛

การ์ดยังแถมให้ ว่าจากที่เคยคิดสนใจแต่เรื่องถูกต้อง ปีหน้านี้ ให้เพิ่มเรื่องความถูกใจ อีกหน่อย อืมมม อันนี้ต้องจัดสมดุลย์ให้ดี

ปิดท้ายด้วยการเขียนคำประกาศประจำปี ที่จะเอาไว้เตือนใจตัวเอง ครอบคลุมทั้งสิ่งที่อยากได้สิ่งที่ต้องแก้ไข จุดเด่นที่จะช่วยให้เราทำได้ และผลลัพธ์ ภาพใหญ่ ที่เราจะได้เป็นของแถม

“ฉันจะมุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้วยวิธีการในแบบของตัวเอง เพื่อให้เราสามารถอุทิศตัวทำประโยชน์ให้ผู้คนรอบข้างได้เต็มที่ในอนาคต และนั่นจะทำให้เพิ่มความรู้สึกขอบคุณในสิ่งดีดีที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้มากขึ้นอีกด้วย”

ต่อจากจุดนี้ ผมจะต้องไปเขียนเป้าหมายย่อยให้จับต้องสบาย ทำเองได้ง่าย วัดผลได้ชัดเจน เห็นคุณค่าต่อตัวเองและคนรอบข้างต่อ แล้วเรามาดูกันสิ้นปีหน้า ว่าชีวิตผมจะขับผ่านถนนสายไหนอีกบ้าง
คุณๆก็ลองส่องกระจกมองหลัง เปิดไฟหน้าดูบ้างนะครับ แล้วจะชอบ ^_^

สนใจเรื่องการโค้ชด้วยการ์ด เชิญได้ที่

Www.facebook.com/coachingcard นะครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ

ฟรีแลนซ์ หนัง . ชีวิต

ฟรีแลนซ์ (1)

ขอบคุณภาพประกอบจาก
http://freelance.splendith.com

ผมไปดูหนังมาครับ
ฟรีแล๊นซ์ : ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ
หนังที่พูดเกี่ยวกับอาชีพฟรีแล๊นซ์/กราฟิกดีไซเนอร์
ที่แทรกมุกตลกเล็กๆ จิกกัดเป็นระยะ และความน่ารักของ
ดาราสาวทั้งหมอ และเออี ดูแล้วอมยิ้มดีครับ
ตามแบบฉบับของ GTH ที่เราคุ้นเคย

แต่ที่มาของการเขียนในครั้งนี้
มันคือประเด็นในหนัง ที่พระเอกทำงานอย่างหนัก
ใช้ร่างกายอย่างไม่ยอมพัก ชีวิตอยู่ได้ด้วย 7-11
จนจุดนึง ร่างกายล้ามาก จนล้ม ป่วย
และต้องเข้าโรงพยาบาลในที่สุด

ผมเคยมีโมเมนต์แบบนั้น
ทำงาน ใช้ร่างกายอย่างไม่ยอมพัก ชีวิตอยู่ได้ด้วย 7-11
หนักสุดจำได้ว่า วันๆอยู่ได้ด้วย ชามะนาวขวดกับฟุตลอง
จนจุดนึง ร่างกายล้ามาก แม้จะไม่ได้ล้มขนาดต้องเข้า
โรงพยาบาล แต่ร่างกายก็ออกอาการแย่อย่างเห็นได้ชัด
ขนาดที่ว่า ทำงานอยู่ดีดี หัวหนัก ตัวชา พร้อมจะล้มตลอดเวลา ต้องลงไปนอนราบ เพราะรู้สึกว่าเลือดไม่เลี้ยงสมอง อะไรแบบนั้น

พอรู้สึกตัว ก็พักงาน พักฟื้น
พอเริ่มจะดีก็ทำงาน หาอะไรทำ หามรุ่งหามค่ำใหม่
วนเป็นลูป แบบนี้ หลายต่อหลายรอบ

นี่ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมีอาการป่วยไป
ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตัวเองรอบใหม่
นอนเร็วขึ้นกว่าเดิม (แต่ก็ยังดึกอยู่)
ดื่มน้ำให้มาก นั่งสมาธิให้ได้ต่อเนื่อง
แต่ก็จะมีบางวัน ที่บอกตัวเอง ว่าเอาเหอะ
ร่างกายมันโอเคแล้วล่ะ ดึกอีกนิดน่าจะได้

ความเจ็บป่วยรอบนี้ มีอาการ
ออกทางภายนอกร่างกาย ทั้งปวดเมื่อย
มีตุ่มใส และอีกหลายต่อหลายอย่าง
ทั้งที่รู้ครับ ว่าตรงไหนที่แสดงอาการ
แค่ทายาหรือทานยา มันไม่หายขาดไปไหน
ตรงนั้น ไม่ใช่ สาเหตุของปัญหา
ถ้าจะแก้ ต้องแก้ที่เหตุ แต่ก็มักจะยกข้ออ้าง
มาสร้างเป็นเหตุผลสนับสนุน เสมอ

การได้ดูหนัง ในโมเมนท์ที่เราเคยมีประสบการณ์
และยังได้เห็น ว่าเรากำลังจะเดินผ่าน
ช่วงเวลาระทึกขวัญแบบนั้นอีกครั้ง
มันช่างเป็นการตบกะโหลกตัวเองให้ตื่น ได้ดีจริงๆ

หนังเรื่องนี้นับเป็น Trigger สำคัญ
ในการเริ่มต้น กลับมาดูแลตัวเอง อีกครั้ง
และด้วยความที่เป็นโค้ช ที่รู้ว่าจะต้องสร้าง
Momentum Effect เป็นระยะ เพื่อให้ชีวิต
เข้าที่เข้าทางอย่างต่อเนื่อง มาลองดูกันซิว่า
เราจะสร้างนิสัยที่ดีให้ชีวิต ได้ยาวนานแค่ไหน

สิ่งที่เราจะโฟกัส ไม่ใช่เรื่องจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่
แต่เป็นเรื่องการปรับเรื่องเล็กๆในชีวิตประจำวัน
และทำมันให้ต่อเนื่อง

หลายคนเรียกหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังฟีลกู้ด
แต่สำหรับผม นี่มัน “หนังชีวิต” ชัดชัด

จนกว่าจะพบกันใหม่ …